หุ้นค้าปลีก ฟ้าหลังฝน ใครสดใสที่สุด - การเงินธนาคาร

sabunajaekonomi.blogspot.com

กลุ่มค้าปลีกเดือนเมษายน ถูกกระทบจาก 4 ปัจจัย ดังนี้ 1. ไม่มีนักท่องเที่ยว 2. มาตรการเคอร์ฟิว และไม่มีวันหยุดยาว 3.การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 4. ยอดขายสินค้าไม่ใช่อาหารที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) เริ่มดีขึ้นหลังไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ภายในประเทศ ทำให้นักวิเคราะห์มั่นใจว่า แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการอ่อนแอที่สุดของปีโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มค้าปลีก และในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นจุดที่คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นความปกติใหม่ หรือ New Normal ทำให้บล.ทิสโก้ ได้มีการอัพเดทการเติบโตของรายได้ต่อสาขา (SSSg) กับบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีก ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การคลายล็อกดาวน์ และกลับมาขายแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการเปิดห้างสรรพสินค้า และร้านค้าทั่วไป ทำให้แนวโน้มยอดขายดีขึ้น

ลูกค้า CPALL เริ่มกลับมา

สำหรับบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ผู้ประกอบธุรกิจร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ "เซเว่น-อีเลฟเว่น" หรือ 7-11 บล.ทิสโก้ ระบุว่า การมีเคอร์ฟิวและห้ามขายแอลกอฮอล์ ส่งผลให้ยอดขายของสาขาลดลงคิดเป็นมากกว่า 10% ของ SSSg และด้วยการยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะทำให้ยอดขายกลับมาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า และไม่มีช่วงวันหยุดยาวในปีก่อนหน้า ทำให้ SSSg เพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ผลของเคอร์ฟิว 5 ชั่วโมง จะทำให้ยอดของลูกค้าลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า

BJC ยอดขายที่ไม่ใช่อาหารที่เพิ่มขึ้น

สำหรับบมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ( BJC) บล.ทิสโก้ ระบุว่า ยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารคิดเป็นสัดส่วน 25% และยอดขายแอลกอฮอล์คิดเป็นส่วนไม่ถึง 10% แต่การกลับมาเปิดเมือง ทำให้ยอดขายของสาขาเพิ่มขึ้นราว 2 เท่า และทำให้ยอดขายอาหารต่อสาขากลับมาลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลของการตุนสต็อคในช่วงก่อนหน้า

MAKRO กลับมาเป็นบวกรายเดียวในเดือน พ.ค.

บมจ.สยามแมคโคร (MAKRO) ในเดือน เม.ย. เป็นเดือนที่มี SSSg ติดลบมากสุด เนื่องจากไม่มียอดขายของสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและแอลกอฮอล์เลย รวมไปถึงยอดขายของกลุ่มธุรกิจ HORECA หรือกลุ่มธุรกิจที่ประกอบไปด้วย ธุรกิจโรงแรม (Hotel) ร้านอาหาร (Restaurant) กาแฟและธุรกิจจัดเลี้ยง (Cafe and Catering) ที่ลดลง

แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายในส่วนนี้กลับมาเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ค. หลังจากการเปิดร้านอาหารและจำหน่ายแอลกอฮอล์กลับมาทำให้ยอดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้าและทำให้ SSSg กลับมาเป็นบวก

นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยบวกจากฐานที่ต่ำในปีก่อนทำให้โดยรวมแล้ว ฝ่ายวิจัยทิสโก้ คาดว่ายอดขายต่อสาขา ของ CPALL และ MAKRO จะลดลงราว 10 – 15%

ในขณะที่ BJC ได้รับผลกระทบมากสุดเกือบ 30% ในเดือน เม.ย. แต่ในเดือน พ.ค. CPALL กลับมาติดลบเล็กน้อย ส่วน MAKRO กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยและ BJC ติดลบหลักเดียว ด้านอัตรากำไรไม่ได้รับ

ผลกระทบ มองเป็นกลางต่อ CPALL, BJC และ MAKRO

ในมุมของอัตรากำไรท่ามกลางมาตรการจำกัดต่างๆ แล้ว CPALL มีความได้เปรียบจากสินค้าที่หลากหลายมากกว่า นอกจากนี้ ยอดขายของกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้นยังเพิ่มขึ้นจากผลของการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing ) และส่งผลกระทบเป็นกลางต่อ BJC ที่มีทั้งกลุ่มที่อัตรากำไรเพิ่มขึ้นและลดลง

สำหรับ MAKRO ได้รับผลกระทบเป็นกลางเช่นกันจากยอดขายของกลุ่ม HORECA ลดลง แต่ด้วยการขายสินค้าแบบ Cost Plus หรือ การตั้งราคาจากทุนทำให้อัตรากำไรของลูกค้า แต่ละกลุ่มไม่ต่างกัน ทำให้อัตรากำไรโดยรวมคงเดิม

หุ้น CPALL เด่นสุด ให้ราคาเหมาะสม 86 บาท

บล.ทิสโก้ เลือก CPALL เป็นหุ้นแนะนำจากการฟื้นตัวที่ดีโดยรวม ส่วน BJC ยังติดปัญหาด้านค่าเช่า และ MAKRO แม้จะมียอดขายต่อสาขาฟื้นตัวดีแต่มีปัญหาด้านการขยายกิจการ

ด้วยยอดขายต่อสาขาที่เพิ่มขึ้น, การขยายสาขา, อัตรากำไรที่มั่นคง และสถานะเงินสดที่แข็งแกร่ง ทำให้ทิสโก้ เลือก CPALL เป็นหุ้นแนะนำของกลุ่ม

สำหรับ BJC ผลประกอบการกว่าครึ่งหนึ่งกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว (ธุรกิจค้าปลีก Big C) ได้ปัจจัยหนุนจากการเปิดสาขาของ Mini Big C และธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท เช่น บรรจุภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์จะเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการในอนาคต แต่ยังมีความเสี่ยงจากรายได้ค่าเช่าที่ลดลง

ในขณะที่ MAKRO แม้จะมีการฟื้นตัวของ SSSg ที่ดีสุด แต่ด้วยผลของการขยายสาขาที่จำกัดมีเพียง 1 สาขาที่เมียนมา, Food service อีก 2 แห่ง และสาขาย่อยอีก 1 สาขาเท่านั้น แนะนำให้ “ซื้อ” CPALL โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 86.00 บาท (DCF)